ฝ่าดงกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจ ธรรมะเกิดในที่สงัดนะ เกิดในที่สงัด เราต้องหาที่สงัด ที่วิเวกเพื่อทำความสงบของใจ ในที่สงัดที่ว้าเหว่ธรรมะมันจะเกิด กิเลสมันก็เกิดด้วย กิเลสมันเกิดมันทำให้เราไม่อยากไปในที่สงัด มันอยากให้เราไปที่ฟุ้งซ่าน ไอ้ที่ที่ว่ามันมีพรรคมีพวกของมันมากมาย นั้นกิเลสชอบอย่างนั้น กิเลสทำให้มีคลุกเคล้า สิ่งที่ทำให้คลุกเคล้านั้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด สิ่งที่ทำให้แยกออกจากกัน ต้องแยกออกจากกันก่อน ธรรมะจะเกิด จะเกิดจากตรงนั้น
ฝ่าดงกิเลส เราจะฝ่าดงของกิเลสได้ เราไม่ใช่ฝ่าดงของกิเลสนะ เราไปตามกิเลสกัน เราไม่รู้สึกตัวเลย เราไปตามกิเลสกัน กิเลสชักนำไปขนาดไหนเราก็ไปตามกิเลส เพราะเราเกิดมากับกิเลส กิเลสพาเราเกิดมา กิเลส ถ้าพูดถึงเรื่องของกิเลส...ถ้าพูดถึงธรรมะ ทำไมต้องพูดถึงเรื่องกิเลสตลอดไป ทำไมไม่พูดถึงเรื่องธรรม เรื่องคุณงามความดี
ถ้าจะเจอคุณงามความดี ทำคุณงามความดี มันต้องรู้เห็นเหตุที่เป็นโทษก่อน สิ่งที่เป็นโทษ แล้วเราจะแก้ไขโทษ กิเลสมันอยู่กับเรา สิ่งที่มันเป็นโทษก็จริงอยู่ แต่มันก็มีคุณประโยชน์ ประโยชน์ทำให้คนเกิดดี ทำให้เราพยายามขวนขวายไปสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นก็มีความอยากเหมือนกันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ความทะยานอยากนั้นเรามันมีธรรมะเข้าไปประคองให้มันเป็นไปในทางที่ดี มีธรรมะเข้ามาประคองสิ่งนี้ให้เป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่มีธรรมะเข้ามาประคอง มันก็หมุนเวียนอยู่ในกิเลส
กิเลสเกิดขึ้นมา กุศล ฝ่ายอกุศลนะ กุศลนะ กุศลเป็นความดี อกุศลนะ ธรรมดำ-ธรรมขาว มันก็หมุนเวียนไปประสามันอย่างนั้น แต่ในเมื่อเราจะทำ เราจะชำระกิเลส เราจะชำระ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา เราอยากจะหาความสุข หาความสุขโดยความเป็นจริง หาความสุขเกิดขึ้นจากความเป็นจริงแล้วให้มันอยู่กับเราคงทนตลอดไป ไม่ใช่ความลุ่มๆ ดอนๆ อย่างที่มันทุกข์ยากขนาดนี้
นี่เราฝืน เราไม่ได้ฝืนกิเลส เราตามไปกับกิเลส กิเลสพาให้เราตามไป เราถึงเกิดมาในโลกแล้วเราถึงเวียนตายเวียนเกิดในโลกเขา แล้วก็หมุนเวียนไปในโลกเขาโดยธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจะฝ่าดงกิเลส มันต้องฝ่าดงตัวเอง ต้องฟันฝ่าเข้าไป เราจะฝ่าแดนที่เป็นที่ทุกข์ยาก เราต้องฝ่าฝืน เราต้องพยายามฝ่าเข้าไปในสิ่งนั้นเพื่อจะให้พ้นจากสิ่งนั้นไป แต่นี้เราไม่เคยเห็น เราจะฝ่าไปอย่างไร เราว่าเราฝ่ากิเลสเต็มที่ของเราแล้ว
แต่ถ้าผู้ที่เคยปฏิบัติมาแล้ว อันนั้นมันเด็กอ่อนๆ ผู้ที่เริ่มหัดประพฤติปฏิบัติมันก็เป็นการฝ่าฝืน เป็นการฝืนตนเองโดยความทุกข์ยากมาก ตนเองฝืนตนเองเพื่อจะหาช่องทางออกของตัวเอง เริ่มต้นฝ่าฝืนอย่างนั้นเราก็ว่าเป็นความทุกข์ยากแล้ว แต่ถ้าทุกข์ยากตลอดไป การประพฤติปฏิบัติต่อไปข้างหน้า ความเป็นอุปสรรคอันมหาศาลในหัวใจยังมีอีกมากมายมหาศาลเลย แต่มันก็ทำของมันไปได้
คนเราเริ่มต้นจากอ่อนแอ จากเตาะแตะไปนี่มันจะก้าวเดินไปเรื่อยๆ ถ้ามันจะก้าวเดินขึ้นไปได้ มันต้องมีสิ่งที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจไป สิ่งที่จะหล่อเลี้ยงหัวใจไปคือความสุข ความเจริญงอกงามของใจที่มันสะสม สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์
โลกนี้เขาอยู่กันประสาโลกของเขา มันเป็นเรื่องของโลกเขา สิ่งใดเกิดขึ้นมาก็อยู่กันอย่างนั้น สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ก็เพียงแต่ว่าเพราะเราไม่เคยพบไม่เคยเห็นเท่านั้น พอเรามาพบเราเห็นเข้าเดี๋ยวมันก็จืด พอมันจืดขึ้นไป มันก็ต้องการสิ่งใหม่ที่จะมีคุณค่ามากกว่านั้นตลอดไป โลกเป็นอยู่แบบนั้น
แต่ความมหัศจรรย์ของใจนี้ มันสิ่งที่ใครไม่เคยเจอ แล้วมันหาได้ในหัวใจ
หัวใจเกิดขึ้นมา หัวใจอยู่กับเรา เรามีหัวใจเกิดขึ้นมา เรามีร่างกายเกิดขึ้นมา เพราะเราเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว เราเจอพระพุทธศาสนา เราถึงได้คิดถึงย้อนกลับมาในเรื่องการประพฤติปฏิบัติ ในการประพฤติปฏิบัตินะ ไม่มีศาสนาก็มีคนพยายามแสวงหาทางออกอยู่ ก็เวียนอยู่ในวังวนของกิเลสอยู่อย่างนั้น เวียนอยู่ในวังวนของกิเลส เพราะสิ่งที่ไม่เคยทำ ไม่เคยรู้ เป็นความคาดหมาย มันละเอียดลึกซึ้งขนาดนี้ ความคิดความอ่านของเรามันละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้น แล้วกิเลสมันละเอียดลึกซึ้งมากกว่านั้น มันถึงฉลาดไง
กิเลสมันฉลาดกว่าสัตว์โลก เอาสัตว์โลกไว้ในอำนาจไว้ทั้งหมดเลย จะยากดีมีจนขนาดไหนต้องอยู่ใต้อำนาจของกิเลสทั้งหมดเลย เห็นไหม กิเลสมันฉลาดกว่าความคิดที่เราว่าฉลาดๆ ความคิดที่ว่าฉลาดๆ แล้วยังเอาตัวรอดไม่ได้เลย นั่นน่ะ ถ้าความคิดอย่างใดจะเอาตัวรอดได้ล่ะ ความคิดอย่างไร?
ความคิดแบบว่าพยายามทำความสงบของใจ ถ้าเอาตัวรอดได้ ต้องทำความสงบของใจขึ้นมา ให้ใจมันพักผ่อนของมันให้มันมีการหาทางออก นี่มันจะฝืน มันจะฝ่าดงกิเลสได้ มันจะเห็นตัวกิเลสได้ มันจะฝ่าฝืนได้ เราต้องพยายามฝืนตัวเราเข้ามาก่อน เพราะมันอยู่ใต้ความคิดของเรา มันเป็นนามธรรมที่อยู่ในใต้ความคิดที่เราไม่สามารถจะเห็นตัวมันได้ง่ายๆ เลย สิ่งที่จะไม่เห็นตัวมันง่ายๆ เราจะทำอย่างไรถึงจะให้เห็นตัวมัน
เริ่มต้นเห็นตัวมัน มันก็เป็นสิ่งที่ทำเป็นผลงานอันมหาศาลแล้ว ถ้าคนเห็นตัวกิเลสนะ เห็นตัวกิเลส พยายามจะต่อสู้กับกิเลสได้เป็นคนที่เห็นหน้ากิเลส แต่เรายังไม่เคยเห็นหน้ากิเลสเลย ไม่เคยเห็นหน้ากิเลส ไม่เคยจะต่อสู้กิเลส ไม่เคยทำ...มันก็โดนกิเลสผลักไสไปตลอดไปแน่นอน กิเลสมันจะผลักไสให้เราหมุนเวียนไปในอำนาจของมันตลอดไป หมุนเวียนไปอำนาจของเขานะ อยู่ในอำนาจของเขา ให้เขามีสนุกครึกครื้นอยู่ในหัวใจของเรา
เรามีแต่ความเศร้าหมอง มีแต่ความเศร้าสร้อย มีแต่ความเสียใจในหัวใจ นี่หรือผู้ที่จะเอาชนะกิเลส นี่หรือความทุกข์ยากขนาดนี้ เราจะต่อสู้ได้ขนาดไหน จนมันท้อใจ นึกท้อใจ ความนึกท้อใจ นั่นน่ะ มันมีเรื่องของกิเลสบวกเข้าไปตลอด เวลาความคิดของเรา กิเลสมันจะบวก ถ้าท้อใจแล้วมันก็ไม่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าท้อใจแล้วก็อยู่ในอำนาจของเขาถ้าเราท้อใจ
ถ้าเราไม่ท้อใจ มันมีกำลังใจขึ้นมา กำลังใจเราต้องสะสมขึ้นมา ครูบาอาจารย์ทำไมทำไปได้ ครูบาอาจารย์สามารถเอาหัวใจรอดพ้นออกไปได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์มากกว่าเรา เพราะกว่าจะพ้นทุกข์ได้ต้องออกแสวงหาโมกขธรรม ถ้าอยู่ในสมบัติ อยู่ในราชวังนั้น มันก็จะมีเรื่องของกามคุณ ๕ อยู่อย่างนั้นตลอดไป
กามคุณ ๕ เห็นไหม กามเป็นคุณ ของเราเป็นคุณ ถ้าคนใช้เป็นประโยชน์มันเป็นคุณ แต่กามมันไม่เป็นคุณกับเราในเมื่อเราออกประพฤติปฏิบัติ กามจะไม่เป็นคุณเลย กามมันจะเป็นโทษตลอดไปเลย เราถึงต้องออกเนกขัมมบารมี ออกพ้นออกจากกาม เนกขัมมบารมี บารมี ๑๐ ทัศ พ้นออกไปจากเรื่องของการชุ่มในกาม ไม้มันดิบสีไฟไม่ติดหรอก หัวใจมันดิบ หัวใจมันคดเคี้ยว มันคลุกเคล้าอยู่กับเรื่องของกามคุณ เหมือนกับน้ำ เหมือนกับฟืนที่มันเปียกน้ำ แล้วชุ่มอยู่ในน้ำ มันเป็นไปไม่ได้ ถึงต้องเนกขัมมบารมี
เนกขัมมบารมีเป็นการถือออก ประพฤติพรหมจรรย์ พ้นออกไป ถ้ามันจะพ้นออกจากกาม เห็นกามมันจะเป็นโทษตรงนี้ ตรงที่ว่าเราจะพ้นออกไปจากมัน แต่มันเป็นความเคยใจ ใจเคยเกาะเกี่ยวกันอยู่อย่างนั้น ใจเคยคิดกันอยู่อย่างนั้น ใจเคยหมุนเวียนกันอยู่อย่างนั้น มันก็จะต้องหมุนเวียนกันไปอยู่อย่างนั้น มันพยายามจะทำให้ใจเราเกาะเกี่ยวไปกับเรื่องของกามคุณตลอดเวลา
นั่นน่ะ บ่วงของมารเกิดจากตรงนี้ บ่วงของมารดึงให้ตัวเราออกไปอยู่ในอำนาจของมัน ถ้าอยู่ในอำนาจของมัน เราต้องพยายามใช้สติสัมปชัญญะมากขึ้นกว่าเขาเพื่อยับยั้งให้ได้ ยับยั้งสิ่งนี้ได้ เราจะยับยั้งความคิดของเราได้ ถ้ายับยั้งความคิดของเราได้นี่ความคิดที่ว่ามันมีอำนาจเหนือเรา มันฉลาดกว่าเรา มันความคิดของเราไป มันคิดแล้วท้อถอย คิดแล้วไม่มีความอบอุ่นใจเลย
ถ้าเรามีความอบอุ่นใจขึ้นมา มันคิดขึ้นมาแล้วมันต้อง อ๋อ! ขึ้นมาสิ อ๋อ! สิ่งนั้นมันเคยคิด สิ่งนี้มันเป็นโทษกับเรา สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย เราคิดอย่างไรขนาดไหน มันเป็นโทษกับเรา มันเป็นโทษกับเรามันให้ผลเป็นทุกข์กับเรา เราพยายามจับสิ่งนี้แล้วพยายามใคร่ครวญสิ่งนี้ สิ่งนี้ไม่ควรคิดอีก แต่มันก็คิดของมันตลอดไป มันคิดเพราะเราไม่มีอำนาจเหนือมัน
นี่จะมีอำนาจเหนือมันได้ เราต้องสามารถชำระกิเลสได้ เราถึงมีอำนาจเหนือมัน ในเมื่อเรายังไม่มีอำนาจเหนือมัน ขณะที่เรามีอำนาจน้อยกว่า เราพยายามสะสมของเรา พยายามสะสมของเราเพื่อให้เรามีอำนาจ เพื่อจะต่อรองกับสิ่งนี้ได้ ถ้าเรามีอำนาจของเราขึ้นมาเพื่อจะต่อรองกับสิ่งนี้ได้ นี่ต่อรองได้ ถ้าเราต่อรองได้ ความคิดมันจะเปลี่ยน
ถ้าความคิดมันต่อรองไม่ได้ ความคิดมันไม่เปลี่ยน เพราะเริ่มต้นของความคิดมันออกมาจากกิเลสทั้งหมด กิเลสมันพาคิดอย่างนั้นออกไป มันก็ออกมาเป็นภาษาความคิดของมันอย่างนั้น นั่นน่ะ มันเป็นไปอยู่ในหัวใจของเรา แล้วเราก็ไม่เคยเห็นตัวมันเลย เรามีแต่ว่าเดินตามต้อยๆๆ มันไปอย่างนั้น นี่หรือจะฝ่าฝืนกับกิเลส
ถ้าเราจะฝ่าฝืนกับมันแล้ว ความเพียรมีเท่าไรพยายามใช้ความเพียรของเรา ความเพียรมีเท่าไรพยายามใส่เข้าไป สติสัมปชัญญะใส่เข้าไป ทุกคนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรนี้เป็นมรรคตัวหนึ่ง เป็นวิริยะอุตสาหะ ความอุตสาหะธรรม ความดำริชอบ ความเพียรชอบ ความเพียรชอบ ชอบในทางที่ถูกต้อง เราพยายามทำให้ถูกต้องขึ้นมา เราพยายามทำให้มากขึ้นตลอดไป ความเพียรทำให้มากขึ้น อย่าทำท้อถอย
สิ่งที่เราทำ เราทำเล็กน้อยแล้วเราก็ท้อถอย ทำผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ เมื่อไรจะมีโอกาสทำ แล้วมันทำไม่ต่อเนื่องกัน สิ่งที่ทำไม่ต่อเนื่องเพราะว่าเราขี้เกียจเอง เพราะเราขี้เกียจ เราไม่อยากทำของเราขึ้นมา หรือเราทำแล้วเราผัดวันประกันพรุ่ง นี่มันเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเลย สิ่งนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น แล้วนี่หรือจะเป็นการต่อสู้กับกิเลส
ถ้าเรามีการต่อสู้กับกิเลส เดินตามทางกิเลสเข้าไป มันก็เป็นทางของเขา เดินตามทางของเขา เดินตามหลังเขาไปตลอด มันก็อยู่ในอำนาจของเขา วังวนของเขาอยู่อย่างนั้น นี่แล้วเราเกิดมา เรามีคุณค่าไหม เราถามตัวเอง ถ้าเรามีคุณค่า เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ถ้าเป็นมนุษย์มีความอุตสาหะ มีความเพียร มันทำสิ่งนี้ได้ ถ้าทำสิ่งนี้ได้ ทำจนพ้น ล่วงพ้นออกไป
กิเลสมันเกิดจากใจ มันทุกข์ในหัวใจ มันทุกข์มาก แต่เวลามันดับขึ้นไป มันดับจากใจของใครล่ะ มันดับจากใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ฉะนั้น ความเพียรมันเกิดขึ้นมา มันจะเกิดขึ้นมาเพื่อจะพ้นจากความทุกข์อันนั้น มันต้องมีแก่ใจสิ ความที่มีแก่ใจ มีความพอใจ ทำความเพียรของเรา เราสร้างสมความเพียรของเรา ความเพียรของเรามันเกิดขึ้นมา
มันเหมือนกับเราต้มน้ำ เราทำกับข้าว ถ้าฟืนไฟมันพอขึ้นมามันต้องสุก มันต้องเดือด น้ำมันต้องเดือดโดยธรรมชาติของมัน อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความเพียรของเรา มันคงที่ตามที่ถูกต้องมันต้องสงบของเรา มันธรรมชาติของมันต้องสงบ สุดท้ายแล้ว ถ้าเราทำความเพียรไม่ได้ เห็นไหม ความทุกข์ขนาดไหนที่มันเกิดขึ้นมา เราย้อนกลับมาสิ เวลาความทุกข์ของเราที่มันเกิดมันมีกับเรา มันประสบกับเรามา นี่มันทุกข์ขนาดไหน มันก็ปล่อยวางไปได้ มันเจือจางไปได้ มันหายไปได้โดยธรรมชาติของมัน นั่นน่ะ มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ มันต้องดับไป มันธรรมชาติของมัน มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่สามารถซับซ้อนสิ่งนี้ให้มันยืนยาวกว่าเราได้
อารมณ์ความสุขของใจ อารมณ์ความสงบของใจ เราไม่สามารถตั้งอยู่กับเราให้นานๆ ได้ เวลามันเกิดขึ้นกับเรา ความสุขเกิดขึ้นมาเดี๋ยวเดียว แต่เวลาความทุกข์เกิดกับเราขึ้นมาแล้ว เกิดนมนานมาก เกิดแล้วอยู่กับเราไปอย่างนั้น ไม่ยอมพ้นออกไปจากเรา อยู่กับเรา เกาะเกี่ยวอยู่กับเรา ทำไมมันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร?
เพราะความโง่ของเรา ความโง่ของเรามันคอยคิดไง สิ่งใดที่มันขัดข้องหมองใจ มันคอยคิดคอยเขี่ยขึ้นมาตลอดเวลา แล้วสิ่งนี้มันเกิดขึ้นในหัวใจ มันเกิดเป็นนามธรรม มันเกิดดับ เกิดดับในหัวใจ แล้วเรากระตุ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เป็นความสุข เราค้นคว้าไม่ได้ เราไม่รู้จักสมุฏฐานของมัน ไม่รู้จักเหตุว่าเหตุมันเกิดจากอะไร ความสุขถึงคิดได้น้อยมาก ความคิดคิดตามหาความสุข คิดได้น้อย
ถ้าคิดแบบประสาความทุกข์มันคิดได้มาก เพราะมันไปเกี่ยว มันตรงไหนมันเป็นแผลของใจ มันชอบไปรื้อตรงนั้นขึ้นมาคิด ชอบไปรื้อตรงนั้นขึ้นมาคิด พอไปรื้อขึ้นมาคิดแล้ว มันก็เลือดซิบๆ ในหัวใจนั่นน่ะ เลือดซิบๆ มีความทุกข์ร้อนในหัวใจ แล้วมันก็เป็นไปอย่างนั้น นั่นน่ะ เวลากิเลสมันอยู่กับใจ เวลาเราสนิทสนมกับมันมากกว่าเรื่องของธรรม
ถ้าเรื่องของธรรม มันเรื่องของคุณงามความดี เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา นั่นน่ะมันไม่ค่อยคิดขึ้นมา มันไปเกี่ยวกับกิเลส กิเลสมันไม่พอใจ กิเลสมันไม่ยอมคิดสิ่งนั้น กิเลสมันยอมคิดแต่สิ่งเรื่องที่มันพอใจจะคิด มันคิดแต่เรื่องที่มันคิดแล้วมันเป็นผลประโยชน์ของมัน แต่เป็นโทษกับเรา เป็นโทษกับผู้ที่มีความคิดนั้น เป็นโทษกับผู้นั้น เพราะผู้นั้นให้ความเร่าร้อนกับใจ ให้ความเร่าร้อนกับใจนี้ตลอดไป
แต่เวลาเป็นธรรมขึ้นมา เวลาคิดขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเรา เราไม่หาประโยชน์กับเราขึ้นมา นั่นน่ะ มันถึงว่าเราฉลาดหรือเราโง่ ถ้าเราฉลาดขึ้นมา เราต้องหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเราสิ ตรึกในธรรมก็ได้ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้อไหนข้อหนึ่ง ตั้งขึ้นมาแล้วตรึก ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมเราก็อยู่ในธรรม ดึงใจของเราไว้อยู่ในธรรม ดึงให้อยู่ในธรรม ธรรมข้อไหนที่เราสงสัยขึ้นมา นึกขึ้นมาแล้วเราตรึกอยู่ในธรรม นั่นน่ะ ธรรมจะเกิดขึ้นในหัวใจไปโดยตลอด
สิ่งที่เกิดขึ้นมา ให้ผูกใจไว้ ใจเราไม่ปล่อยไปให้มันเพ่นพ่านไปตามประสาอำนาจของมัน พอเพ่นพ่านตามประสาอำนาจของมัน มันมีอิสรภาพของมัน มันก็ไปประสาของมัน เราผูกไว้กับธรรม ผูกไว้กับข้อใดข้อหนึ่ง ธรรมข้อใดข้อหนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราคิดตรึกอยู่อย่างนั้นตลอดไป คิดตรึกออกตลอดไป ความคิดมันจะขยับขยายขึ้นออกไป นั่นน่ะ ทำอย่างนี้ต่างหากถึงคนมีปัญญา ทำอย่างนี้ต่างหากถึงคนที่เป็นประโยชน์ เห็นไหม เอาประโยชน์ตนของเราขึ้นมา ประโยชน์ตนของเราขึ้นมา เราพยายามตรึกของเราขึ้นมา ธรรมของเราเกิดขึ้นมา
ธัมมวิจยะ ธรรมะวิจัย...เราวิจัยทำในข้อของธรรมขึ้นมา ปัญญามันจะแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ สิ่งที่แตกแขนงๆ ออกไปเรื่อยๆ นั่นสมบัติของเรา เห็นไหม เรายืมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ตั้งเป็นทุนเดิม พอยืมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งทุนเดิมแล้ว เราก็วิปัสสนาไป ใคร่ครวญไป ถ้าเรายังไม่สามารถหาหน้ากิเลสได้ เราทำอย่างนี้ไปใจมันก็จะมีที่พึ่ง มีที่เกาะเกี่ยว ใจมีที่เกาะเกี่ยว ใจมันก็มีพึ่งที่อาศัย มันไม่ไปตามอำนาจของกิเลสทั้งหมด
เพราะใจเราไม่มีที่เกาะเกี่ยว ไม่มีที่อาศัย มันก็ถึงไปตามอำนาจของกิเลสของมันไป กิเลสตามอำนาจมันไป มันก็ไปตามประสามัน เหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของ ไม่มีใครปกป้องรักษามัน มันก็ไปตามประสามัน แล้วก็ทุกข์ร้อนตลอดไป...กับสัตว์มีเจ้าของ ใจของเรา เราเป็นเจ้าของของเรา เราตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วเราทำวิจัยธรรมของเราขึ้นมาตลอดเวลา นั่นน่ะ เรามีเจ้าของ เรารักษาใจของเรา สิ่งที่มีเจ้าของรักษามันต้องเป็นประโยชน์กว่าสิ่งที่ไม่มีเจ้าของรักษาแน่นอน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารักษาใจ เราว่าประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติต้องรักษาใจของเราให้ได้ รักษาใจของเราไว้ได้มันก็เริ่มเป็นคุณค่าของเราขึ้นมา รักษาใจไปตลอดไป รักษาใจ ใจตัวนี้ มันจะพลิกแพลงขึ้นมาให้เป็นคุณประโยชน์กับเราขึ้นมาได้ เพราะใจเป็นตัวสำคัญที่สุดเลย ใจเป็นสิ่งที่รับรู้ เป็นสิ่งที่ภาชนะรับสิ่งต่างๆ ไว้ทั้งหมด ความทุกข์ขนาดไหน มันก็รวมลงอยู่ที่ใจ ความสุขขนาดไหน มันก็รวมลงอยู่ที่ใจ
แต่รวมลงอยู่ที่ใจ ความสุข-ความทุกข์เกิดขึ้นนี้มันเกิดดับ สิ่งที่เกิดดับนี่เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย สิ่งที่คงที่กับเรายังไม่เกิดขึ้นมา เพราะเราพยายามแสวงหาของเราขึ้นมา ถ้าเราแสวงหาสิ่งที่เป็นคงที่กับเราขึ้นมาได้ เราพยายามแสวงหาขึ้นมาได้ มันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าจะเป็นสมบัติของเราขึ้นมาแล้ว เราต้องทุ่มเข้าไป จะเป็นสมบัติของเรา
คนโง่ เห็นไหม คนโง่ไม่รู้จักเงิน เขาให้เงินน่ะ โยนทิ้งไปก็มี เพราะไม่เข้าใจว่าเงินนี้เป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ธรรมะก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องของธรรมะเลย ไม่เข้าใจเรื่องของวิธีการปฏิบัติเลย เราจะว่าอะไรเป็นธรรมล่ะ สิ่งใดเกิดขึ้นมากับใจขึ้นมา สิ่งใดเกิดกับใจขึ้นมา เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม
มันเกิดกับใจ มันเกิดดับๆ สิ่งที่เกิดดับนั้นเป็นอาการของขันธ์ทั้งหมด สิ่งที่เป็นอาการของขันธ์ มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติมาเกิดอยู่แล้ว แล้วกิเลสมันใช้สอยสิ่งนี้เป็นเครื่องมือของเขา นี่มันน่าเสียใจตรงนี้ ตรงที่ว่าเวลาเป็นเครื่องมือของเขา กิเลสมันใช้สอย เราควรใช้สอยให้เป็นประโยชน์เครื่องมือของธรรมบ้าง มันไม่พลิกกลับขึ้นมา มันไม่พลิกกลับขึ้นมาให้เป็นเครื่องมือของธรรม ถ้ามันพลิกกลับขึ้นมาเป็นเครื่องมือของธรรม มันต้องเป็นประโยชน์กับเรา มันต้องเป็นธรรมขึ้นมาให้หัวใจชุ่มเย็นสิ
นี่มันเป็นเครื่องมือของกิเลส เห็นไหม มันเกิดดับในหัวใจแล้วกิเลสมันก็ยังผูกไสไปอย่างนั้น แล้วเกิดเกี่ยวกับความเคยชิน เกี่ยวกับเรื่องของความเคยใจ ใจเกี่ยวข้องสิ่งนั้นไปตามอำนาจของเขาตลอด ไปตามอำนาจของเขาแล้วผูกพันไปกับสิ่งนั้น ผูกพันกับในหัวใจแล้วพลิกแพลงไปในหัวใจ ให้มีความทุกข์ร้อนตลอดไป นั่นมันเป็นเรื่องเครื่องมือของเขา เขาใช้งานตลอด เราไม่เคยได้ใช้งานเลย เราไม่เคยได้ใช้งานเพื่อประโยชน์ของเรามากมายมหาศาลขึ้นมา เราถึงต้องพยายามยับยั้ง
หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงาน ถ้าทำงานเราทำตามประสาของเราไป หยุดแล้วต้องหยุด หยุดเพื่อมาทำ หยุดแล้วมันต้องวางใจให้ได้ นี้หยุดแล้วมันไม่หยุดสิ หยุดแล้วมันไม่หยุดมันก็ทำให้เกิดเป็นโทษกับใจของเราเอง ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านของใจ ทำให้เกิดมันมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ดึง ทำไมใจเรา เอ...ทำไมเราเป็น เราไม่มีอำนาจเหนือเรา เรามีอำนาจคุมตัวเราเองไม่ได้ เราไม่สามารถคุมตัวเองได้
เพราะขาดการฝึกฝน ทุกคนรู้สิ่งใดดีงามนะ สัตว์โลกรู้ว่าอะไรดี-อะไรชั่วอยู่ แต่มันฝืนใจทำไม่ได้ ฝืนใจทำสิ่งที่เป็นเป็นประโยชน์กับเรานี่มันฝืนไปไม่ได้ แต่ถ้าสิ่งใดเป็นความพอใจของเรา มันจะพอใจทำ แล้วสิ่งที่พอใจทำมันเข้าเรื่องกิเลสเกือบทั้งหมดเลย มันจะไปกับเรื่องของกิเลส สิ่งที่เราพอใจทำ เห็นไหม เรารู้คุณงามความดี เราฝืนไม่ได้...เราจะฝืนได้ เราต้องพยายามฝึกหัดตัวเราเอง ถ้าเราเริ่มฝึกหัดตัวเราเอง เราพยายามฝืนของเราไป
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา
อันนั้นมันจะเห็นทีหลัง เห็นทีหลังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดดับ มันต้องเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน แต่นี่มันเกิดดับแล้วมันเป็นเราก่อน มันเป็นอำนาจของเรา เราถึงคิดตามไป แล้วเราก็เป็นเราของเราหมุนไป หมุนไปตามอำนาจของเรา หมุนไปตามอำนาจของกิเลส แล้วก็หมุน เราก็คิดว่าเป็นอำนาจของเราแล้วเพราะเราพอใจ
เราพอใจสิ่งนี้นี่ เราเป็นไป เราเห็นว่าคิดว่ามันเป็นประโยชน์ คิดว่าเป็นประโยชน์ แต่มันจะไม่เป็นประโยชน์ ถ้ามันเป็นประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์เล็กน้อย เป็นประโยชน์ของโลกเขา เป็นประโยชน์ชั่วคราว แต่เราอาศัยของเราไป มันหมุนเวียนไปอย่างนั้น มันความเคยชินอยู่กันอย่างนั้น ถ้าอยู่กันอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นตลอดไป
แต่ถ้าเราปล่อยวางสิ่งนี้สิ ปล่อยวางสิ่งที่มันว่าเป็นประโยชน์กับเราทุกอย่างๆ สิ่งที่เป็นประโยชน์เหนือกว่ามันยังมีอยู่ เห็นไหม สิ่งที่จะเป็นประโยชน์เหนือกว่าประโยชน์ สิ่งที่เราจับต้อง สิ่งที่เราแสวงหากันอยู่นี่มันยังมีสิ่งนั้นที่เป็นประโยชน์กับเราอยู่ สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นได้ แล้วมันมีความสุขในหัวใจ ถ้ามันปล่อยวางสิ่งใดๆ ได้ สัมมาสมาธิเกิดขึ้นกับหัวใจ
จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้จะเป็นไปได้
จิตตั้งมั่น จิตจะมีความสุขของมัน
จิตจะตั้งมั่น ถ้าเราตั้งมั่นขึ้นไป เราควบคุมของเราได้ มันต้องตั้งมั่นได้ มันเป็นสัมมาสมาธิ มันถึงจะควบคุมมันได้
ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิ เห็นไหม สมาธิส้มหล่น สมาธิมันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน มันเกิดได้โดยปกติของมนุษย์ มนุษย์เรานี่มีสมาธิโดยพื้นฐาน โดยธรรมชาติของเขาโดยดั้งเดิมอยู่แล้ว ทำสมาธิโดยพื้นฐาน แต่สมาธิที่จะทำให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา มันยังไม่เกิดไง
สมาธิที่สืบต่อ สมาธิที่ต่อเนื่องออกไป ถ้าเริ่มทำขึ้นมามันจะเกิดเป็นขณิกสมาธิ เริ่มจากแยบๆ แวบๆ เข้ามาหน่อย อุปจารสมาธิ สมาธิอุปจาระ สมาธิที่เข้าไปสงบมากเข้าไปหน่อย มากลึกกว่าขณิกสมาธิเข้าไป นี่สงบเข้าไปแล้วมันจะออกรู้สิ่งต่างๆ สิ่งที่เรารู้ นั่นน่ะ ทำให้หลุด พลัดหลุดมือไป มันจะออกรับรู้ ออกรู้สิ่งต่างๆ ออกรู้ รู้ไปเพื่ออะไร เพราะมันยังไม่ใช่หน้าที่ของเรา
หน้าที่ของเราต้องทำความสงบของใจเท่านั้น ถึงพยายามทำความสงบของใจ ถ้ามันเป็นอุปจาระก็ให้มันบ่อยครั้งเข้าๆ บ่อยครั้งเข้าจนเราชำนาญไง เราชำนาญในเรื่องของสมาธินะ เราชำนาญในการควบคุมใจของเราได้ นั่นน่ะ มันจะทำเป็นการงานขึ้นเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราไม่ควบคุม เราไม่สามารถทำของเราได้ เราควบคุมเราไม่ได้ มันก็ยังจับพลัดจับผลูไป เรายังก้าวเดินไปไม่ได้ไง ความก้าวเดินไม่ได้ จิตไม่ตั้งมั่น
จิตตั้งมั่น จิตถึงจะก้าวเดินไปได้ จิตตั้งมั่น สมาธิ ความสงบของใจบ่อยครั้งเข้าๆ จนจิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วพยายาม มันมีความสงบของใจขึ้นมา มันมีความสุข อ๋อ! สิ่งนี้เองที่เขาแสวงหากัน แสวงหากัน เราเจอแล้ว นี่เป็นปัจจัตตัง เห็นไหม เป็นปัจจัตตังกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีความสุขในหัวใจดวงนั้น มีความสุขในหัวใจพอสมควร พอสมควรเป็นเครื่องอยู่อาศัยของใจได้ พอเป็นเครื่องอยู่อาศัยของใจได้ มันไม่หิวโหย มันก็สามารถทำการทำงาน จะทำการทำงานได้เป็นประโยชน์กับเรา
สิ่งที่หิวโหย เราทำงานมา เราไม่ได้พักผ่อนมาเลย จะให้บังคับให้ทำงานตลอดไปมันถึงกับตายได้ คนเรานี่ตายได้ ถ้าทำงานแล้วไม่เคยพักผ่อนเลย นี่ก็เหมือนกัน จิตมันไม่เคยพักผ่อนเลย มันทำงานประสาของมันตลอดเวลา แล้วมันก็ทำของมันตลอดไปอย่างนั้น มันก็ทำงานภาษาโลกของมัน เป็นเรื่องของโลกของเขาตลอด มันจะทำงานให้เป็นธรรมขึ้นมา...มันไม่เป็นธรรมขึ้นมาหรอก เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นความเห็นเดิมของเราทั้งหมดเลย
สิ่งใดเห็นไหม เกิดความคิด คิดทุกอย่าง นี่มันเกิดจากกิเลสพาคิด กิเลสในหัวใจเราทำให้สิ่งนี้คิดไปด้วย คิดวนเวียนออกไปในความคิดของเขา มีความคิดของเขาไป แล้วความคิดอย่างนี้มันจะชำระกิเลสได้อย่างไรในเมื่อมันมีกิเลสอยู่ในความคิดนั้น เราถึงต้องทำความสงบของใจให้มันเป็นธรรมขึ้นมาไง ทำสัมมาสมาธิ นี่ก็เป็นธรรมอันหนึ่ง
สัมมาสมาธิ สมาธินั้นคืออะไรหนอ?
เราคิดวิตกวิจารณ์ คิดว่า สมาธิคืออะไร? สมาธิคืออะไร?
เรามีความสงบของใจ นี่เราตรึกไปในธรรมขึ้นไปเรื่อย มันสงบขึ้นไปเรื่อย สงบขึ้นไปเรื่อย เพราะอะไร เพราะมันความคิดมันไม่สืบต่อ เห็นไหม มันขาดไป ขาดไป เหมือนคำบริกรรมพุทโธ พุทโธแล้วปล่อยวาง พุทโธแล้วปล่อยวาง อันนี้ก็เหมือนกัน เราคิดของเรา สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เป็นคำบริกรรมก็ได้ขึ้นมา วนเข้ามาข้างในจนมันสงบเข้ามา นั่นน่ะ สมาธิมันสืบต่อ มันสามารถทำการทำงานได้...
(เทปขัดข้อง)
...แสวงหาสิ พยายามดู ยกขึ้นดูสติปัฏฐาน ๔ ความสิ่งที่มันเกิดดับ นี่บ่วงของมาร เรื่องที่มาติดบ่วงของมาร เมื่อก่อนมันติดได้อย่างไร เดี๋ยวนี้มันปล่อยวางขึ้นมามันปล่อยวางเพราะเหตุใด อ๋อ! มันจะปล่อยวางด้วยสติของเราพร้อม สติสัมปชัญญะของเรานี่เราควบคุมได้ตลอดมา มันถึงปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางจากความติดข้องในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ ปล่อยเข้ามาเป็นอิสรภาพของมันในตัวมันเอง ถ้าปล่อยเข้ามาเป็นอิสรภาพของตัวมันเองแล้วมันทำความสงบของใจขึ้นมาจนพอแรงแล้ว พยายามดูอาการของใจ
ถ้าดูอาการของใจ เห็นไหม จับขันธ์ได้ มันพิจารณาวิปัสสนาขันธ์ได้ ถ้ามันจับขันธ์ไม่ได้ วิปัสสนากายก็ได้ ยกขึ้นกายขึ้นมา นี่ถ้ามันไม่เห็นขึ้นมา ให้ตรึกขึ้นมา ให้นึกกายขึ้นมาเลย นึกกายขึ้นมาว่ากายนี้มันเป็นสภาวะของกาย มันคงที่ของมันไหม มันคงที่ของมันหรือมันจะแปรสภาพในความเห็นของใคร นั่นน่ะ ให้มันเห็นตามความเป็นจริง อย่าไปคาด อย่าไปหมาย
การคาด การหมาย นี้เป็นการยึดมั่นถือมั่นของเรา เรายึดมั่นถือมั่นของเราในความเห็นของเรา เราฟังธรรมมาแล้วเราว่าเป็นอย่างนั้น มันก็จินตนาการไป จินตนาการไปมันจะเป็นสภาวะอย่างนั้น อันนี้อันหนึ่ง...หรือว่ามันเป็นตามความเป็นจริงอันหนึ่ง มันคือว่าเรามีอำนาจวาสนา เราจับกายของเราได้ขึ้นมา แล้วเราวิปัสสนานี่กายมันจะแปรสภาพไป อันนี้บางทีเราก็คิดของเราขึ้นมาว่าอันนี้มันเป็นอุปาทานของเรา เป็นความเห็นของเรา
อุปาทานของเราหรือไม่เป็นของเรา มันไม่ต้องไปคิดมากของมัน...ให้วางไว้ แล้วเอาเหตุเอาผลของมัน เอาผลของการวิปัสสนา เอาผลของการวิปัสสนาแล้วมันปล่อยวางขึ้นมา เอาผลของใจที่มันคลายตัวออก อันนั้นต่างหาก ผลของมันอยู่ตรงนั้น
เหตุออกมาแล้วมันมีความผิดพลาด มีความพลั้งเผลอไป มันเป็นครู สิ่งที่พลาดไปเป็นครู เราทำซ้ำอีกได้ สิ่งนี้มันแก้ไขได้ สิ่งที่ว่ามันเป็นอุปาทานของเรา เรายึดมั่นถือมั่นจริงหรือไม่จริงในหัวใจของเรา นี่ปล่อยมันได้ ปล่อยมันไป เราทำแล้วเราทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราใช้ปัญญาของเราปัญญา ในการก้าวเดินของปัญญา ปัญญามันต้องได้ธรรมะวิจัย มันต้องใคร่ครวญไว้บ่อยๆ สิ่งที่ใคร่ครวญไว้บ่อยๆ เหมือนกับของสกปรก เราซักล้างบ่อยๆ เข้า มันจะสะอาดขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรามันยึดมั่นถือมั่นมาก มันต้องซัก มันต้องชำระล้างบ่อยๆ มันวิปัสสนาบ่อยๆ ฉะนั้น วิปัสสนาไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วมันจะหยุดไป ถึงว่าถ้ามันผิดพลาดไปมันก็ให้มันผิดพลาดไป เราทำงานอย่างอื่นมา เรายังเคยผิดพลาดมามากมายมหาศาล แล้วงานอย่างนี้เราจะบังคับตัวเราเองว่าเราทำให้แล้วถูกต้องตลอดไป มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันก็ต้องมีความผิดพลาดเป็นธรรมชาติของมัน ถ้าสิ่งนี้ผิดพลาดไปแล้ว เราก็ทำของเราใหม่ เป็นอะไรไป ในเมื่อมันผิดไปแล้วก็แล้วกันไป แล้วเราทำของเราขึ้นมา วิปัสสนาซ้ำเข้าไป นั่นน่ะ ทำบ่อยเข้าจนมีความชำนาญ
ถ้าคนทำบ่อยครั้งเข้าจะมีความชำนาญ ความชำนาญอันนั้นจะทำให้เราถูกต้อง นี่ความชำนาญเกิดขึ้นพร้อมกับปัญญานะ เพราะอันนี้เป็นขั้นของปัญญาแล้ว ขั้นของสมถะ ขั้นของทำความเพียรขึ้นมา ขั้นของทำให้ใจเป็นอิสรภาพขึ้นมาส่วนหนึ่งนั้นเป็นขั้นของทำความเพียรขึ้นมา อันนั้นเราก็ใช้ธรรมะวิจัยของเราขึ้นมาส่วนหนึ่ง
แต่ส่วนที่เราใช้วิปัสสนา ใช้ขั้นของปัญญา ถ้ามันวิปัสสนาได้ มันจับต้องได้ มันมีเหตุมีผลขึ้นไป มันจะเป็นขั้นของปัญญา ขั้นของปัญญานี้ยิ่งกว้างขวาง ยิ่งกว่าขั้นของสมถะอีกมหาศาลเลย เพราะขั้นของสมถะนี้มันรวมตัวเข้ามาสงบแล้วมันมีฐานของใจ ใจนี้เป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติ สรรพสิ่ง ความสงบเข้ามาจะย้อนกลับมาที่ฐีติจิต ที่พื้นฐานของจิตทั้งหมดเลย ย้อนกลับเข้ามา
แต่วิปัสสนาไม่เป็นแบบนั้น วิปัสสนานี่มันต้องใคร่ครวญออกไป ต้องเอาใจที่เป็นพื้นฐาน ฐานที่ควรแก่การงานยกขึ้นวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาในสิ่งอะไร ยกขึ้นมาในสติปัฏฐาน ๔ ไง ในกาย-ในจิตไง ในกาย-ในจิตมันก็เป็นงานข้างนอกใช่ไหม มันเป็นงานข้างนอกมันถึงยกออกขึ้นมา แล้วมันจะหางานถูกหรือหางานผิดอยู่ที่ตรงนี้ ตรงนี้ถ้าหางานถูกต้อง มันก็วิปัสสนาไปแล้วมันจะเป็นธรรมขึ้นมา มันจะเป็นธรรมขึ้นมาปล่อยวาง มันมีความเข้าใจ
ถ้าหางานไม่ถูกขึ้นมา งานนั้นมันก็เป็นงาน มันก็เป็นหมุนวนออกไป มันหมุนออกไปข้างนอก มันเป็นการคาดหมาย สิ่งที่เป็นการคาดหมายนั้นเป็นเรื่องของกิเลสมันสอดแทรกเข้าไปในขั้นของปัญญานั้น
ในปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาอยู่ เราคิดว่ามันเป็นปัญญาทั้งหมด กิเลสมันอยู่กับเราอยู่แล้ว มันก็สอดแทรก มันพยายามทำให้เราผิดพลาดออกไป สิ่งที่จะผิดพลาดออกไปจากการวิปัสสนานั้นคือเรื่องของกิเลส เรื่องของนามธรรมที่มันพยายามผลักไสตัวเราเองให้หมุนเวียนออกไป นี่ถ้าเราพยายามดูตรงนี้ มันก็จะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด สิ่งนี้ที่ผิดเราไม่ตามไป สิ่งที่เป็นสิ่งที่ถูก เราต้องเหยียบคันเร่งเข้าไป
สิ่งที่ผิด-สิ่งที่ถูก มันมีคันเร่ง มีความเข้าใจ มันจะปล่อยวาง มันจะปล่อยวางเข้าไป นั่นน่ะ มันเริ่มต้นจากความถูกต้องหรือความผิดพลาด มันจะเป็นไปได้โดยเริ่มต้นนี้ ขั้นของปัญญามันกว้างขวางออกไป มันถึงจะต้องพยายามใช้ความละเอียดอ่อนของเรารอบคอบ ความรอบคอบ ความวิริยะอุตสาหะ
ดูใจของเรา ดูปัญญามันหมุนออกไป ถ้ามันหมุนออกไปแล้ว มันเป็นไปไม่เป็นประโยชน์ เราพักเสียดีกว่า เราทำความสงบของใจ พักใจเข้ามา แล้วเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นใหม่ เราเริ่มต้นใหม่ วิปัสสนาขึ้นมา ใช้ความคิดขึ้นมา ความคิดรอบหนึ่งก็ความคิดอันใหม่รอบหนึ่ง ความคิดที่เริ่มขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นได้แล้วหมุนเวียนออกไป
ผิดพลาด...หยุด ผิดพลาด...หยุด แล้วทำความสงบของใจ ให้ใจสงบเข้ามา มีความสงบของใจเข้ามาเพื่อให้มีดของเรา ให้ปัญญาของเราคมกล้าดีกว่า ดีกว่าเราพยายามฟันไปทุกๆ อย่าง เห็นไหม เจอสิ่งใดเราก็ใช้มีดของเราฟันเข้าไป ใช้ปัญญาของเราฝ่าฟันสิ่งอุปสรรคต่างๆ เข้าไป แล้วมันก็เหนื่อยมาก เหนื่อยมากแล้วไม่ได้ผล
แต่ด้วยความคิดของเราไง คิดว่างานมันเป็นปัญญา ปัญญานี้จะเป็นเรื่องการชำระกิเลสเท่านั้น ในเมื่อปัญญามันก็ก้าวเดินแล้ว มันต้องใช้ปัญญาให้มาก ใช้ปัญญาให้มาก ใช้ให้มากจนเราลืมไปว่ามันใช้ไปมากจนมันไม่สมควรแก่กัน มันไม่สมควรแก่ธรรม มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันถึงต้องทำกลับมาทำความสงบของใจ ให้ใจนี้มีความสงบของเรา แล้วใช้ปัญญาเริ่มต้นใหม่ หมุนเข้าไปตลอดไป นี่งานของใจเป็นแบบนี้
งานของใจเป็นเรื่องของนามธรรม แต่มันเกิดขึ้นมาจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้วจะเห็นเป็นรูปธรรม รูปธรรมคือว่ามันเห็น มันจับต้องได้ มันพิจารณาได้ มันควบคุมได้ นั่นน่ะ มันหมุนออกไปเป็นผลงานของใจดวงนั้น ใจดวงใดก็แล้วแต่สะสมขึ้นมาแล้วใจดวงนั้นจะมีผลประโยชน์เป็นผู้ที่ควรแก่การงาน เคยงานขึ้นมา พอทำงานเป็นขึ้นมา ทำงานเป็นมันก็ภาวนาเป็น พอภาวนาเป็น ภาวนามยปัญญามันก็ก้าวเดินไป นี่ปัญญามันหมุนเวียนออกไป หมุนเวียนออกไป
แต่เดิมปัญญาเราคิดไม่เป็น ปัญญาของเราจะเป็นปัญญาขนาดไหน เป็นความนึก เป็นการคาด เป็นความหมาย อันนั้นมันเป็นสัญญา เป็นสัญญามันจุดไม่ติด ถ้ามันจุดไม่ติด มันก็เผาลน เผากิเลสไปไม่ได้ แต่ในเมื่อมันจุดติดแล้ว ถ้าเราวิปัสสนาจนมันจุดติด มันจะเผาลนกิเลสเข้ามา เผาลนกิเลสเข้ามา กิเลสมันก็ต้องหาทางหลบซ่อนตัวของมัน เราพยายามต่อสู้เข้าไปเรื่อย ต่อสู้เข้าไปเรื่อย นี่ปัญญาใคร่ครวญเข้าไปบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า
ใจมันจะพัฒนาขึ้นไป ใจจะเป็นใจที่ประเสริฐขึ้นมาได้ด้วยการวิปัสสนา ใจจะประเสริฐขึ้นมาได้ด้วยการปัญญาของเราใคร่ครวญใจของเราเอง ใจของเรานี่ถ้าไม่มีปัญญา มันตบะธรรมแผดเผา มันไม่พัฒนาขึ้นมาหรอก มันจะหมกจมอยู่ในกิเลส จมอยู่ในอวิชชา จมอยู่ในความเห็นของตัว มันจมอยู่อย่างนั้นแล้วมันเคยใจ กิเลสมันขี่ใจแล้ว มันก็จะข่มขี่ใจไปอย่างนั้นตลอดไป แต่ถ้าปัญญา มันเหมือนกับตบะไฟ มันจะเผาผลาญ เผาผลาญให้แห้ง ให้เบาตัวลง เบาตัวลง จนถึงจุดหนึ่งมันถึงสรุปตัวมันเอง มันต้องขาดออกไปจากใจ นั่นน่ะ สิ่งที่ขาดออกไปจากใจ ความยึดมั่นถือมั่นของใจ
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา
มันดับอย่างนี้เองหนอ
มันจะดับโดยธรรมชาติของมันอย่างหนึ่ง ถ้ามันดับโดยธรรมชาติของมัน มันก็หมุนเวียนอยู่โดยเกิดดับ แต่นี้มันดับด้วยปัญญาญาณ มันไม่ใช่ดับโดยธรรมชาติ มันดับด้วยความเพียร มันดับด้วยวงอริยมรรค วงอริยมรรคเข้าไป สมุจเฉทปหานมันขาดออกไป มันขาดไปโดยมรรค ไม่ได้ขาดไปโดยไม่มีสิ่งใดบอกเหตุ มันจะขาดไปโดยมรรคเลย มรรคสมุจเฉทปหานขาด แล้วคนที่เห็นขาด นั่นน่ะ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสมบัติส่วนตน
ใจจากที่ว่าลังเลสงสัย จับต้องสิ่งใดก็มีแต่เรื่องของความลังเลสงสัย เรื่องไม่แน่ใจ สีลัพพตปรามาสในการลูบคลำในความเห็นต่างๆ ออกไป แต่ถ้ามันขาดออกไปจากใจโดยธรรมชาติของมรรครวมตัวแล้ว มันจะขาดออกไป มันจะเห็นตามความเป็นจริงจากใจดวงนั้น สมบัติของใจ ใจมันก็พัฒนาขึ้นมา ใจมันคงที่เป็นอกุปปธรรมที่ว่าไม่เสื่อมสภาวะจากตรงนี้อีกแล้ว นั่นน่ะ เห็นคงที่ขนาดนั้น คงที่ขนาดนั้นมันก็เป็นความคงที่ของใจดวงนั้น
แต่ความกิเลสที่มันละเอียดอ่อนกว่า ที่มันเผาลนกว่า มันก็ยังมีอยู่ข้างบนนั้น เราต้องก้าวเดินต่อไป ความก้าวเดินต่อไปของเรา ของใจที่จะก้าวเดินขึ้นไป มันก้าวเดินในหัวใจของเรานะ หัวใจของเรามีหยาบ มีกลาง มีละเอียด มันมีลึกซึ้งอยู่ในหัวใจของเรานั้น นี่ฝ่าดงของกิเลสเข้าไปในหัวใจนี่มันแสนทุกข์แสนยาก แสนทุกข์แสนยากเพราะว่าเราต้องหากิเลสเอง งานต่างๆ ของทางโลกยังช่วยเหลือกันได้ ยังพึ่งพาอาศัยกันได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรมว่า
เราจะเป็นคนชี้ทางให้ แต่การประพฤติปฏิบัติ ต้องเป็นใจดวงนั้น ทุกดวงใจต้องพยายามค้นคว้าหาเอง
แล้วมันหากิเลสไม่เจอ มันจะฝ่าเข้าไปที่ไหน ฝ่าเข้าไปที่ไหนก็มีแต่เรื่องของกิเลสมันหลอก ฝ่าเข้าไปมีแต่เรื่องกิเลสมันหลอก จนกว่ามันจับต้องสิ่งที่เป็นกิเลสได้ มันถึงจับ มันถึงจะเห็นตัวเห็นตนของมัน แล้วฟันฝ่าเข้าไป
มันจะเห็นนะ เวลาวิปัสสนาขึ้นมา มันจะเกิดแพ้กับชนะ มันจะเห็นเก้าอี้ดนตรีในหัวใจ ถ้าวันไหนธรรมมันชนะ มันขึ้นได้นั่งก่อนนะ มันจะมีความสุขในหัวใจนั้น ใจจะมีความสุขพอสมควรแก่ว่า ธรรมมาก-ธรรมน้อย มีความลึกซึ้งต่างกันในหัวใจ ถ้ามันละเอียดอ่อน มันจะมีความสุขของมันมาก
แต่ถ้าวันไหนกิเลสมันนั่ง ทั้งๆ ที่เราปฏิบัติธรรมอยู่นะ เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เราพยายามทำความเพียรอยู่นี่ ทำไมมันทุกข์ร้อนขนาดนั้น ทำไมมันน่าทุกข์ร้อน ทำไมมันไม่มีความสุขเลย มันจะมีความทุกข์ร้อน อันนั้นเป็นเรื่องของตบะธรรม เป็นเรื่องของงาน เรื่องของงานมันต้องมีความทุกข์ร้อน ความเพียรจะใส่เข้าไปขนาดไหน
ขนาดที่ว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติยกขึ้นเป็นชั้นสูงขึ้นไปนี่จะอยู่กับใครไม่ได้เลย จะต้องอยู่คนเดียว มันสงวนรักษาเวลามาก เวลาทุกวินาทีจะต้องต่อสู้กับกิเลสตลอดเวลา มันต่อสู้กับกิเลส ก็กิเลสมันอยู่ในหัวใจ มันสิ่งที่ละเอียดอ่อน มันพยายามชนกับความเห็นของเรา มันจะให้เราล้มลุกคลุกคลานไป มันจะไม่ให้เราเป็นอิสระเสรีภาพขึ้นมาให้ได้ มันจะไม่ให้เราฟันฝ่าเข้าไปในตัวของมันเองหรอก มันพลิกแพลงมาให้เราล้มลุกคลุกคลานก่อน
แล้วเราทำความสงบของใจเพื่อจะยืนตัวขึ้นมาได้ ยืนตัวขึ้นมาได้แล้ว พยายามต่อสู้กับเขา ฟันฝ่า ฝ่าดงของกิเลส ฝ่าดงของกิเลสก็ฝ่าดงของหัวใจเข้าไป เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ สรรพสิ่งต่างๆ นี้มันไม่ใช่เรื่องของกิเลสทั้งหมดหรอก
เรื่องข้าวของเงินทอง เรื่องวัตถุสิ่งของต่างๆ...ใช่อยู่ กิเลสเป็นคนริเริ่ม หัวใจเป็นคนริเริ่ม หัวใจเป็นคนที่พาคิด แต่นั้นเป็นผล สิ่งที่เป็นผลนั้นมันเป็นผลงานออกไปนี่มันอยู่ข้างนอก แต่เรื่องของกิเลสมันอยู่ที่หัวใจ แล้วเราจะเจอตัวเขา เราจะชำระกิเลส เหมือนกับของนี้สกปรกที่ไหน เราต้องทำความสะอาดที่นั่น
นี่กิเลสมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจ เราต้องพยายามค้นคว้าหาใจของเรา ใจอยู่ที่ไหน พอจับใจของเราได้ ทำความสงบของใจขึ้นมาได้ นั่นน่ะ พยายามค้นคว้าว่าสิ่งใดที่กิเลสมันพาใช้ ขันธ์อันละเอียดกิเลสมันก็พาใช้ พาขันธ์อันละเอียดนั้นใช้ออกไปในความเห็นของเรา เห็นไหม ในอุปาทาน ในความรู้สึก ในความอุ่นกินของใจ มันจะหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นตลอดไป มันก็คิดของมันประสาอยู่อย่างนั้น
นี่ความเป็นอย่างหยาบมันปล่อยวางไปก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่เป็นละเอียดมันก็ยังเป็นสมบัติของเขาอยู่ สมบัติของเขา เขาเคยใช้ของเขามาอย่างนั้น ไม่มีต้นไม่มีปลาย ใจนี้เกิดมาไม่มีต้นไม่มีปลาย เวียนตายเวียนเกิดมาโดยธรรมชาติของมันในวัฏสงสารนี้ เป็นธรรมชาติอย่างนี้ทั้งนั้นเลย มันถึงเหนียวแน่น แก่นของกิเลสเหนียวแน่นมาก เหนียวแน่นจนว่าในหัวใจนี้ใครจะไปเชื่อว่ามันจะจับ ทำสิ่งนี้ได้ มันแทบจะไม่เชื่อนะว่าเราจะมีความสามารถทำได้หรือ
แต่ในเมื่อมันมีความทุกข์ เราต้องคิดว่า ทุกข์อันนี้มันเป็นความจริงของเราอันหนึ่ง เราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดของทุกข์ มันก็จะเป็นสมบัติของเรา ถ้ามันไม่ถึงที่สุดของทุกข์ การปฏิบัติบูชาอันนี้เป็นบูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างประเสริฐที่สุด เราทำสิ่งที่ประเสริฐที่สุด สิ่งที่ใกล้เคียงคุณงามความดีที่ว่าเป็นสิ่งที่เหนือที่สุด แล้วเราพยายามเกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งนั้น มันต้องเป็นคุณงามความดีกับเราสิ ถ้ามันเป็นคุณงามความดีกับเรา เราก็มีกำลังใจทำ
เราพยายามขวนขวายทำอยู่อย่างนั้น พยายามภาวนาของเรา พยายามสร้างความเพียรของเรา พยายามสะสมของเราขึ้นมา ใจของเราสะสมขึ้นมา...มันเป็นไปได้ เป็นไปได้ ความทุกข์มันเป็นความทุกข์ ปล่อยมันไป แต่ผลที่มันสงบตัวขึ้นมา มันต้องเป็นผลของเรา ถ้าเรามีกำลังใจขึ้นมา มันต้องผ่านอุปสรรคอันนี้ไปได้โดยแน่นอน
พระจักขุบาลขนาดที่ว่าทุกข์ขนาดไหนก็ยังพยายาม ไม่ยอมแพ้กับความทุกข์ของตัว แม้แต่จะต้องสละดวงตา ยังต้องยอมสละดวงตาเพื่อจะให้มรรค ผล นิพพานเกิดขึ้นมาในหัวใจของพระจักขุบาล ไอ้ของเรามีความเพียรขนาดนั้นไหม ไม่ถึงขนาดนั้นเลย ทำความเพียรกันเหยาะๆ แหยะๆ ทำความเพียรตามประสาที่ว่ากิเลสมันบอกให้ทำไง ถึงเวลาจะทำความเพียรแล้ว เราต้องทำความเพียรก่อน ก่อนนอนต้องนั่งสมาธิก่อน นั่งสมาธิ ๕ นาที นั่นน่ะ กิเลสมันบอกให้ทำ กิเลสบอกให้ทำเราก็ทำตามกิเลส แล้วกิเลสก็บอกให้เลิก
มันก็เหมือนกับว่าเราศึกษาธรรมมาเพื่อจะเป็นธรรม แต่กิเลสมันก็ใช้ธรรมนั้นเป็นเครื่องมือฟันหัวเราโดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลย ฟันเราโดยที่...เพราะว่ามันทำอย่างนั้นมันทำในอุปาทาน ทำในความเห็นของกิเลสทั้งหมด กิเลสมันควบคุมในการกระทำของเรา เราทำเพียงแต่ว่าถ้าเราไม่ทำ มันก็ยังไม่ได้ทำ
แต่ถ้าเราทำของเราเอง จะนั่งของเราโดยกี่นาที กี่ชั่วโมง มันเรื่องของเรา เราปฏิบัติของเรา ถ้ามันบอกว่าให้หยุด เราจะนั่งต่อไป ถ้ามันจะให้นั่งต่อ มันนั่งต่อไปแล้วดี ไอ้นั่นมันเป็นผลของเรา ปัจจัยของเรา เราทำของเราไปก็ได้ แต่ถ้าจะให้หยุด เราไม่หยุด เราไปพยายามฝืนออกไป นั่นน่ะ มันฝืนกิเลส ฝืนในการประพฤติปฏิบัติ ฝืนทั้งเรา ฝืนทั้งตัวเราเองด้วย ฝืนให้ความเพียรของเราต่อเนื่องด้วย นั่นน่ะ ความเพียรเราต่อไป มันก็ไม่เหยาะแหยะขึ้นมา สิ่งที่ไม่เหยาะแหยะ
นิพพาน นิพพานเป็นผลอันอย่างยิ่ง ความสุขอันอย่างยิ่ง ธรรมะนี่เป็นผลอันละเอียดอ่อนที่ควรแก่หัวใจทุกคน แล้วหัวใจที่มันไม่เข้มแข็ง หัวใจที่ไม่จริงจัง มันสมควรกับมรรคผลอย่างนั้นไหม ถ้ามันไม่สมควรกับมรรคผลอย่างนั้น ผลมันจะเกิดกับใจดวงนั้นได้อย่างไร
ถ้าใจดวงนั้นมันจะเป็นผลขึ้นมานี่มันต้องเข้มแข็ง มันต้องจริงจังขึ้นมา ความจริง สัจธรรม อริยสัจ สัจธรรมความจริงมันเป็นความจริงโดยสุดส่วน แล้วมันควรจะอยู่กับหัวใจดวงไหน มันต้องอยู่ในกับหัวใจที่เป็นความจริงสุดส่วนเหมือนกันสิ ธรรมสุดส่วน กับ ใจที่สุดส่วน มันจะอยู่ด้วยกันได้ นี่ความเพียรของเรามันจะเกิด เกิดอย่างนี้ นี่กำลังใจมันเกิดเพราะเราให้กำลังใจเรา ถ้าเราให้กำลังใจเรา เราพยายามยกขึ้นวิปัสสนาไป ซ้ำไป แยกออก แยกออก แยกออก หน้าที่ของเราคือจับแล้ว แล้วพยายามแยกออก ถ้าจับแยกออกไม่ได้ กำลังเราไม่พอ
สิ่งที่กำลังไม่พอ ทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจ...จับสิ่งนี้ได้ มันจะแยกออกไป ขันธ์อันอย่างกลางๆ กับหัวใจมันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในความอุปาทานในร่างกาย อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นของใจ ไอ้อุปาทานมันยึดอยู่ในร่างกาย หัวใจกับร่างกายยึดไปก็เป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา สิ่งที่เป็นมนุษย์ปุถุชน เป็นมนุษย์ขึ้นมามันต้องมีสิ่งนี้อยู่ในหัวใจโดยธรรมชาติของมัน
สิ่งที่เป็นธรรมชาติแล้วเราประหารธรรมชาติ เราทำลายให้ธรรมชาติกลับไปตามสภาวะตามความเป็นจริง ธรรมที่ในหัวใจเรามันเหนือธรรมชาติ รู้สึกสรรพสิ่งที่เป็นธรรมชาติด้วย แล้วปล่อยธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง มันต้องปล่อยโดยธรรมชาติ
รู้ธรรมชาติขึ้นมา พอไปรู้สิ่งนั้นก็รู้ เรารู้
พอเรารู้มันก็ปล่อยไม่ได้ เพราะมีเราเข้าไปอยู่ร่วมตัวด้วย มรรคไม่สามัคคี
มรรคสามัคคีนี้มรรครวมตัวนี้ไม่มีเรา ไม่มีสิ่งใดๆ เข้าไปเจือปน มันจะบริสุทธิ์ผุดผ่องของมันโดยธรรมชาติของมัน แล้วมันรวมตัว สมุจเฉทปหานออกไป ขาดออกไป ใจเป็นใจ กายเป็นกาย แยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน แยกออกไป อุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในหัวใจดวงนี้ขาดออกไป ไม่มีเลย มันเป็นผลงานของใจดวงนั้น นั่นน่ะ ธรรมสุดส่วนกับใจสุดส่วนจะอยู่ด้วยกัน สิ่งที่อยู่ด้วยกันจะมีความสุข อยู่ด้วยกัน เวิ้งว้างไปขนาดไหน จะเวิ้งว้างไปมาก
ถ้าเจโตวิมุตตินี่จะติดอยู่ในสิ่งนี้ ติดอยู่ไปเพราะอะไร เพราะความเห็นของใจมันเวิ้งว้างออกไป แต่ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ปัญญามันใคร่ครวญอยู่แล้ว ปัญญามันจะตรึกตรองอยู่แล้ว มันจะเทียบเคียงไงว่ามรรค ๔ ผล ๔ มันต้องหมุนเวียนเข้าไปอีก อันนี้ทำความสงบของใจ มันรักษาใจอยู่โดยธรรมชาติของมัน
ถ้าเจโตวิมุตติมันจะรักษาใจ รักษาใจ ใจก็ว่าง ใจก็ว่าง อยู่อย่างนั้น กิเลสมันก็หัวเราะเยาะอยู่ในหัวใจ ต้องการให้เราติดอยู่ในความว่างอย่างนั้น ถ้าติดอยู่ในความว่างอย่างนั้น สิ่งที่ลึกอยู่ในความว่างนั้นคืออะไร สิ่งที่อยู่ในความว่างนั้นน่ะมันมีอะไรอยู่ในความว่างนั้น ถ้ามันสิ่งนี้มีความว่างนั้น มันมีความยึดมั่นถือมั่น มันมีกามราคะอยู่ในนั้น สิ่งที่จะมีกามราคะอยู่ในนั้นมันต้องยกทำความสงบของใจขึ้นไป แล้วพยายามยกขึ้นวิปัสสนา คือจับต้องสิ่งนั้นได้
ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาได้ ถ้าเจอสิ่งใดมันว่าง มันก็ปล่อยวางหมด มันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ ถ้าจับต้องสิ่งใดได้ จับกายได้มันก็เป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะ-อสุภังมันจะว่างไปไหน มันชุ่มไปด้วยกามราคะ สิ่งที่ชุ่มไปด้วยกามราคะ ใจมันติดสิ่งนี้ คนเรามีความแสวงหากันอยู่ทุกวันนี้ เพราะเหตุไร
ก็เพราะตรงนี้ เพราะตรงที่การสืบต่ออยู่นี่ ระหว่างความสืบต่อ ระหว่างหญิงกับชาย มันเป็นเรื่องของโลกเขา เห็นไหม โลกคือหมู่สัตว์ เรื่องของสัตว์ เรื่องของการเกิด เรื่องของการเกิดการตาย เป็นเรื่องของสิ่งที่ว่าผูกพันในหัวใจของทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจเกิดแล้วไม่อยากตาย แล้วอยากจะมีสมบัติของเราให้มากมายมหาศาล มีชีวิตเป็นสมบัติของเรา เกิดมาในอำนาจของเรา เกิดมาในอำนาจของเรา มันแสวงหาสิ่งนั้น ทั้งๆ ที่ดวงใจดวงเดียวนี้มันก็ยังเอาตัวแทบไม่รอดอยู่แล้ว มันยังไปคิดผูกพันกับสิ่งใดอีกมหาศาล ความคิดของใจมันเป็นแบบนั้น
มันเป็นอยู่ที่ใจ แล้วมันฝังอยู่ที่ใจ ใจของเรานี่แหละ มันเป็นอย่างนั้น แต่เราไม่เห็นมัน เราเห็นแต่ว่าเราไม่สามารถเอาตัวรอดได้เราเห็นแต่ว่า สิ่งนี้มันเป็นความคิดของเรา สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ เราก็อยู่กันไปประสาธรรมชาติ สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เขายอมรับกัน โลกเขายอมรับกัน ทำไมเราต้องไปฝืนหาทางออกล่ะ
เวลากิเลสมันหลอก มันหลอกอย่างนี้ เห็นไหม หลอกว่าให้เรางอมืองอตีนไง ให้เรางอมืองอเท้าอยู่ แล้วอยู่ในอำนาจของมันตลอดไป อยู่ในอำนาจของมันนะ มันยังเวียนพาเวียนเกิดเวียนตายโดยธรรมชาติของมัน มันยังไม่สามารถสมุจเฉทปหานให้กามราคะ กามคุณ กามราคะ กามภพนี้ออกไปจากใจได้ สิ่งที่กามภพออกไปจากใจได้ นั่นน่ะ มันเป็นสิ่งที่น่าไว้ใจได้ ไว้ใจได้ส่วนหนึ่ง แต่มันจะต้องทำให้ถึงที่สุด ถ้าทำให้ถึงที่สุดได้แล้ว นั่นน่ะ เป็นสิ่งที่ไว้ใจได้ ใจดวงนี้มีสุขตั้งแต่การประพฤติปฏิบัติถึงจุดส่วนหนึ่ง จะมีความสุขตลอดไป จะไม่มีสิ่งใดเข้าถึงใจดวงนั้นได้ เพราะใจดวงนั้นพ้นจากกิเลส
แต่ใจยังมีกิเลสอยู่นี่มันเผาลนใจ มันมีความเผาลนใจ มีความทุกข์อยู่ในใจ ทุกข์อย่างละเอียด มันก็เผาอยู่ในละเอียดในหัวใจนั้น ทุกข์อย่างหยาบ มันก็เผาอย่างหยาบๆ อย่างนั้น ถ้ามีความทุกข์ในใจแล้ว มันจะมีความทุกข์ มันจะมีความเศร้าหมอง มีความคิดในหัวใจ มีความวิตกกังวลไปตลอด
แต่ถ้าใจมันพ้นไปแล้ว มันไม่มีความวิตกกังวล โลกนี้เป็นโลกของเขา เก้อๆ เขินๆ ใจส่วนใจ เข้าถึงใจไม่ได้ เข้าได้ด้วยขันธ์ เห็นไหม เวทนาของกายรับผิดชอบได้ ผู้ที่พ้นจากกิเลสไปแล้วก็ต้องมีเวทนาของกาย กายนี้ยังต้องใช้ไปอยู่ ยังมีความรับรู้กันอยู่ สิ่งที่รับรู้นั่นก็เป็นขันธ์
สิ่งที่เป็นขันธ์ ไม่ใช่จิต จิตนี้ไม่พ้นออกไป
จิตนี้พ้นออกไปจากความทุกข์ทั้งหมด พ้นออกไปจากความทุกข์ นั่นน่ะ ถ้าพ้นได้ด้วยความเพียร เราจะพ้นได้ เราก็ต้องใช้ความเพียร ความเพียรของเราที่ละเอียดอ่อนขึ้นมา ความเพียรอย่างหยาบ เราทำอย่างหยาบๆ
ความเดินจงกรมเหมือนกัน นั่งสมาธิเหมือนกัน ทำไมมีหยาบ-มีละเอียดด้วยเหรอ?...มี
มีในวุฒิภาวะของใจ ใจที่มันละเอียดขึ้นมา มันจะละเอียดอ่อนขึ้นมา มันวุฒิภาวะของใจมันละเอียดอ่อน มันก็หมุนเวียนเข้าไป มันรักษาได้ง่ายขึ้น มันทำอย่างหยาบ มันพยายามขึ้นมา
เริ่มต้นทำความสงบของใจ เราเดินจงกรมไปก่อนเลย แล้วค่อยนั่งสมาธิภาวนาทีหลัง พอนั่งสมาธิทีหลัง ใจมันสงบตัวลง สงบตัวลง นั่นน่ะ มันอย่างละเอียดขึ้นมาในหัวใจของเรา เรามันพัฒนาขึ้นมา มันพัฒนาขึ้นมาแล้ว เราพยายามทำความเพียรของเราขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ความเพียรไม่ถึงที่สิ้นสุด
สิ้นสุดของความเพียร เห็นไหม เวลามรรคมารวมตัวกัน มันสมุจเฉทปหาน รวมตัวกัน มันคืนตัวไปหมด อันนั้นสิ้นสุดของความเพียร หน้าที่ของเขาคือเวลามรรคมารวมตัว หน้าที่ของเรา คือหน้าที่เราสะสมขึ้นไป ทำความสงบของใจ ใจต้องกลับมาทำความสงบของใจแล้วออกค้นคว้าหากายกับจิต จับกายกับจิตได้แล้ว นั่นเป็นวิปัสสนา
ถ้ามันเป็นวิปัสสนาเห็นไหม ถ้าเป็นวิปัสสนา เป็นขั้นของปัญญา ขั้นของความสงบของใจ คือการค้นคว้าหาตัวของอวิชชา หาตัวของกิเลสให้เจอ ขั้นของปัญญาคือการเจอตัวแล้วเราพยายามแยกแยะออก พยายามใคร่ครวญ ใคร่ครวญให้เขากลับคืนไปสู่ความเป็นจริงของเขา
สิ่งนี้เป็นความจอมปลอม สิ่งนี้เป็นความโกหกโสโครก สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของกิเลสสะสมมา เป็นเรื่องของการเกิดและการตายแล้วได้สิ่งสถานะนั้นมา สถานะนี้เป็นสถานะของที่กิเลสมันครอบคลุมใจอยู่ ครอบคลุมใจอยู่มันก็ใช้สถานะของมันอย่างนั้น สถานะอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของความโป้ปดมดเท็จทั้งหมด มันโป้ปดมดเท็จในหัวใจของเรา แล้วจะให้เราเชื่อมันนะ เราก็หลงเชื่อมันมา ช่วงตอนก่อนหน้านี้ เราก็หลงเชื่อมันมาตลอด
แต่ในเมื่อปัจจุบันนี้เราจับตัวของมันได้ สิ่งนั้นมันไม่ใช่เรื่องของความเป็นจริง สิ่งนี้เป็นเรื่องของความเป็นอนิจจัง สิ่งนี้เป็นเรื่องของอนัตตา สิ่งนี้เป็นเรื่องของการเกิดดับชั่วคราว สิ่งที่เป็นของชั่วคราวอาศัยกันอยู่ชั่วคราว สิ่งที่เป็นชั่วคราวแล้วเราก็อาศัยสิ่งชั่วคราว แต่มันเกิดไวมาก ถึงจะเป็นชั่วคราว เกิดดับๆ จนคิดว่ามันเกิดเป็นสิ่งอันเดียวกัน แล้วเราก็ตามมันไปตลอด เรายึดมั่นถือมั่นไปจนคิดว่า
เป็นสิ่งที่เป็นความจริงอยู่กับเรา ถ้าเราอยู่กับสิ่งนี้จะปลอดภัย ถ้าเราทิ้งสิ่งนี้ไป เราจะไปอยู่กับใคร เราทิ้งสิ่งที่ว่าธาตุขันธ์ของเรา แล้วเราจะไปอยู่กับใคร เราจะอยู่กับความว่างที่ไหน มันความว่างมันจะเลี้ยงเราได้หรือ
นั่นน่ะ กิเลสมันหลอก หลอกอย่างนั้น เห็นไหม ในวิปัสสนามันก็หลอกอยู่อย่างนั้น
ทิ้งได้หมด สรรพสิ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้ต้องทำลายมันทั้งหมด ไม่ใช่มันจะทิ้งธรรมดานะ ต้องทำลายมันด้วย ทำลายให้มันออกไปจากใจ ถ้าทำลายให้มันออกไปจากใจได้ขึ้นมา นั่นคือผลงานของการวิปัสสนา ของงานของปัญญา
ปัญญามันจะแยกแยะออกไป แยกแยะว่า มันเป็นอนิจจังได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นอนิจจัง เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่อย่างไร แล้วอยู่กับเรา สภาวะอยู่กับเราขนาดไหน แล้วมันจะแปรสภาพไปได้ตั้งเมื่อไร นั่นน่ะ ลักษณะของเห็นอสุภะไง
ลักษณะของการเห็นอสุภะ มันเห็นขึ้นมา มันเป็นความสกปรกโสโครก มันเป็นเรื่องความไม่จริงอยู่แล้ว ตั้งขึ้นมา ดูมันขึ้นไป แล้วมันก็จะแปรสภาพให้เราดู ความแปรสภาพให้เราเป็นอสุภะ-อสุภังเป็นความเปื่อยเน่า เป็นความ...นั่นน่ะ มันเป็นอนัตตาทั้งหมด ถ้าเห็นสภาวะนั้นแล้วใจเห็นสภาวะ มันสลดสังเวชมาก
สิ่งที่สลดสังเวช มันจะปล่อยวาง ปล่อยวางสิ่งที่ว่ามันเป็นของเรา เหมือนกับว่าสิ่งนี้เป็นสมบัติของเรา เป็นสิ่งที่ว่ามีคุณค่ามาก เมื่อก่อนเราเคยหลงเชื่อมันมา แล้วเดี๋ยวนี้มาเห็นตามความเป็นจริง นี่มันจะสลัดออก พอมันสลัดออกแล้วมันจะมีปัญญาเกิดขึ้น มันจะมีความเศร้าใจ เสียใจ โศกเศร้าเสียใจกับสิ่งนั้นว่าทำไมเรามาคลุกเคล้าอยู่กับสิ่งนี้ได้อย่างไร
คลุกเคล้าสิ คลุกเคล้า เพราะกิเลสมันไม่รู้ คลุกเคล้าเพราะกิเลสมันผูกมัด มันก็หมุนเวียนไปตามประสาของเขา มันเป็นธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของกิเลสก็เป็นธรรมชาติของกิเลส
ธรรมนี้เหนือธรรมชาติ ธรรมนี้เหนืออำนาจของกิเลส ให้เห็นสภาวะของกิเลสแล้วปล่อยวางกิเลสไว้ตามความเป็นจริง นั่นน่ะ พอปล่อยวางขึ้นมาทีหนึ่งมันก็มีปัญญาเพิ่ม สะสมปัญญาขึ้น ปัญญามันก็แก่กล้าขึ้นๆ ความแก่กล้าของปัญญา มันก็หมุนเวียนขึ้นไป
สิ่งที่ปัญญาหมุนเวียนขึ้นไป เราก็พยายามสืบต่อ เราต้องวิปัสสนา ให้พยายามมุมานะให้มากเข้า ให้มากเข้า สิ่งที่เราพยายามวิปัสสนาให้มากเข้า ปัญญามันก็จะหมุนแรงขึ้นๆ ความที่ปัญญาหมุนแรงขึ้น นั่นน่ะ กิเลสมันถึงจะเริ่มมีคู่ต่อกร นี่ถ้าคู่ต่อกรในเรื่องของปัญญา เรื่องของปัญญาหมุนแรงขึ้นไป กิเลสมันจะเริ่มสงบตัวลง ใจเริ่มมีความสุขขึ้นมา
แต่เดิมเร่าร้อนมากนะ พอคิดถึงอสุภะ กามราคะมันจะเกิดในหัวใจ พอวิปัสสนา จะยกขึ้นวิปัสสนาขึ้นไป มันจะเกิดอาการของใจ ใจมันจะไปไปตามเขา มันจะไหวไปตามเขา มันจะมีหวั่นไหว มันจะมีความลังเลสงสัยในหัวใจ มันจะมีทุกอย่างพอกพูนใจ ใจนี้มีความทุกข์ยากในหัวใจโดยธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นตลอดไปเลย
พอปัญญามันเริ่มก้าวเดินออกไป มันจะหมุนออกไป สิ่งนี้มันจะโดนชำระออกไป ความลังเลสงสัยหายออกไป ความคิดเพ้อฝันของใจนี้หายออกไป ความคิดต่างๆ ที่มันเคยเกิดดับในหัวใจที่มันหลอกเผาไหม้กินในหัวใจ มันจะหลุดออกไปๆๆ หลุดออกไปแล้วมันก็เวิ้งว้าง มันก็ว่างไปตลอด มันก็ว่างตลอด
สิ่งที่เป็นความว่าง ความว่างนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร?...เกิดขึ้นมาจากปัญญาในการใคร่ครวญในการฟาดฟันกิเลสนะ ความว่างอันนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นมาโดยลอยๆ นะ ความว่างอันนี้เกิดขึ้นมาจากความเข้าใจ ความเห็นจริง ความเห็นจริงตามสภาวะที่กิเลสมันหมุนเวียนออกไป ตามสภาวะความเป็นจริงที่ว่าธรรมะปัญญามันฟาดฟันกับกิเลส
นั่นน่ะ เก้าอี้ดนตรี ธรรมได้นั่งมากขึ้นๆ ความสุขเกิดขึ้นนะ ความสุขเกิดขึ้นพร้อมกับความเพียร ความเพียรมีขนาดไหน มันจะสู้ขึ้นมา ความเพียรแต่เดิม เราทำแล้วมีแต่ความท้อถอย มีแต่ความอ่อนเนื้ออ่อนใจ ถ้าความเพียรอย่างนี้เกิดขึ้นมา มันไม่ฟังใคร มันจะความเพียรนะ จะฉันข้าวอยู่ก็แล้วแต่ จะกินข้าวกินปลาอาหาร มันจะคิดอยู่ตลอดเวลา ความเพียรจะอุ่นกินอยู่กับเรื่องของนามธรรมอยู่กับหัวใจ มันจะฟัดกันอยู่ตลอดเวลา มันต่อสู้กัน มันจะฟาดฟันกันตลอด
สิ่งที่ฟาดฟัน นี่ดงใหญ่ของกิเลส ดงทึบ ดงหนา ป่าใหญ่ของกิเลส คือกามภพ นี่ฝ่าดงของกิเลส มันต้องทำลายตรงนี้เข้าไป นั่นน่ะ ปัญญาจะหมุนเวียนเข้าไป มันมีความมุมานะอุตสาหะมากขึ้น ความเพียรเรามากขึ้น ความเพียรเรามากขึ้น มากขึ้นไปเรื่อย นั่นน่ะ ปัญญามันก็คมกล้าไปเรื่อย คมกล้าไปเรื่อย นั่นน่ะ ชนะไปเรื่อย ชนะไปเรื่อย ชนะไปถึงที่สุด ถึงที่สุดมันจะต้องครืน! ออกไปจากหัวใจ กามราคะ ขันธ์อันละเอียดในหัวใจ มันต้องสลัดออกไปจากใจ ใจกับขันธ์นี้แยกออกจากกันโดยธรรมชาติของมัน
พอธรรมชาติของมันแล้ว มันต้องหมั่นฝึกหมั่นซ้อมบ่อยครั้งเข้า เพราะอะไร เพราะอนาคามีมีหลายชั้น อนาคามีมีหลายชั้น ต้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ามันจะเวิ้งว้าง มันจะปล่อยวางออกไป ซ้ำเข้าไปอีก ขึ้นไปเพราะอะไร เพราะกิเลสมันขาดไปแล้ว พอกิเลสมันขาดไปแล้ว มันเป็นการฝึกซ้อมเฉยๆ ฝึกซ้อมสิ่งที่ลูกหลาน สิ่งที่เหลือเศษของกิเลสที่มันเสียดแทงอยู่ในหัวใจ นั่นน่ะ ซ้ำเข้าไปตรงนั้น ซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป ปัญญาหมุนเข้าไป หมุนเข้าไป จนจิตนี้หลุดออกไป จิตนี้ว่างออกไป จิตนี้เวิ้งว้างออกไป
จิตนี้ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จับต้องกันไม่ได้ เพราะมันฟาดฟันออกไปแล้ว มันก็จะเวิ้งว้างอย่างนั้น ความเข้าใจมันมีความสุขมหาศาลขนาดนั้น นั่นน่ะ มันจะต้องไปจมอยู่ที่ตรงนั้น ไปจมอยู่ตรงนั้นเพราะมันจับต้องสิ่งใดไม่ได้ เพราะไม่มีใครสามารถจะผ่านพ้นไปได้โดยที่ว่าโดยความเข้าใจตั้งแต่ทีแรก มันจะต้องเข้าไปหลง เข้าไปในความผิดพลาดตลอดไป เข้าไปอุ่นกินอยู่กับหัวใจดวงนั้นนะ
ดวงใจดวงนั้นเป็นอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นความว่างโดยธรรมชาติของมัน จับต้องสิ่งใดไม่ได้อยู่ในหัวใจนั้นน่ะ มันเป็นตอของจิต แล้วความว่างของใจ ใจก็ว่างอยู่อย่างนั้น จับต้องสิ่งนั้นไม่ได้ จนกว่ามันจะเกิดความเฉา เกิดความเฉา เกิดความผ่องใส ความเศร้าหมอง มันจะอยู่ตรงนั้น
นี่ถ้ามีความเอะใจขึ้นมา หรือว่า? หรือว่ามันยังมีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของเรา?
สิ่งที่จะเป็นฝ่าดงกิเลส เราต้องเอาตัวนี้ไปเป็นตัวฝ่า
ตัวที่เราจะเอาฝ่ากิเลส เราเอาอะไรไปฝ่า? เราทำงาน ถ้าเราเป็นมนุษย์ปุถุชน เราก็มีเรานี่เป็นคนต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับทุกๆ อย่าง แล้วเวลาจะเอาสิ่งที่มันฝ่ากิเลส เอาอะไรไปฝ่า?...ก็ต้องเอาใจดวงนี้มาฝ่า ถ้าจะเอาใจดวงนี้ได้ มันต้องจับต้องใจดวงนี้ได้ ถ้าจับต้องใจดวงนี้ได้วิปัสสนาได้ ถ้าจับต้องดวงใจดวงนี้ไม่ได้ วิปัสสนาไม่ได้
แต่จะจับต้อง มันจะแค่คิดออกมาจับต้องมันยังไม่คิดออกมาจับต้องเลย มันคิดว่าเราเป็นผลงานของเรา เราคิดว่าเราสิ้นสุดกระบวนการในการประพฤติปฏิบัติแล้ว เห็นไหม ใจมันจะเวิ้งว้าง เวิ้งว้าง นี่มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ในความประพฤติปฏิบัติ มันมหัศจรรย์ที่ว่ามันมีความสุข เวลามีทุกข์มันก็ทุกข์แสนทุกข์แสนยาก เวลาทุกข์ยาก เราพยายามฝืนทนขึ้นไป
แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไป มีความสุขกันนี่มันติดสุขไง มีความสุขจนมันติดสุข มันติดอยู่ในสิ่งนั้น ติดอยู่ตรงนี้อยู่นาน จนกว่ามันจะว่าความสุขอันนี้ก็ต้องทิ้ง ความสุขอันนี้ใครรักษาไว้ ความสุข เห็นไหม ความว่างนี้เราต้องรักษา ถ้าไม่รักษาไว้ กลัวมันจะไม่ว่าง ต้องรักษา ตั้งสติสัมปชัญญะไว้ นั่นน่ะ สติสัมปชัญญะนี้เป็นอรหัตตมรรค ย้อนกลับจากอรหัตตมรรค ย้อนกลับเข้าไปจับต้องเรื่องตอของจิต ถ้ามันจับตอของจิตได้ สิ่งที่จับตอของจิตได้มันเป็นความเวิ้งว้างขนาดไหน พลิกทีเดียวจบสิ้นกระบวนการ นั่นน่ะ ใจดวงนี้ฝ่ากิเลส ฝ่าดงกิเลสไปตลอด
ฝ่าดงกิเลส คือฝ่าดงของใจของตัวเอง เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ เห็นไหม เอาตัวใจ ตัวเรา ฝ่าตัวมันเอง ถึงจะฝ่าตัวมันเอง พยายามฝ่าฝืน ฝ่าฝืนทนขึ้นไป จนกว่ามันจะพ้นออกไปจากกิเลสได้ ถ้าพ้นออกไปจากกิเลสได้ นั่นน่ะ เป็นผลงานของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นฝึกฝนไปตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เตาะแตะ ตั้งแต่เริ่มออกก้าวเดิน ก้าวเดินตั้งแต่เริ่มอ่อนแอ
ความอ่อนแอของใจ ใจอ่อนแอขนาดไหนมันก็เป็นใจของปุถุชน ใจของปุถุชน ใจของสัตว์โลก มีอ่อนแอ-มีเข้มแข็งต่างกัน ความเข้มแข็ง-ความอ่อนแอของใจต่างกัน อันนี้มันเกิดขึ้นมาจากอำนาจวาสนาของใจ อำนาจวาสนาของใจนี่คือบารมีธรรมที่สะสมมา
สิ่งที่สะสมมา ฉะนั้น มันจะเกิดสิ่งใดกับเราขึ้นมา เราอย่าเพิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ น้อยเนื้อต่ำใจ เพราะว่าสิ่งที่เราเกิดขึ้นมา มันเป็นการกระทำของเราทั้งนั้น เราสะสมสิ่งนี้ขึ้นมา เราสร้างสมใจของเราขึ้นมา มันถึงจะเป็นปัญญาของเราขึ้นมา สิ่งที่เราสะสมมามันเป็นจริตนิสัยขึ้นมาแล้ว มันเป็นเรา เป็นเรา เราต้องใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐาน เราต้องใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานเพื่อจะแสวงหาสิ่งที่มีคุณค่าเหนือกว่า ถ้าสิ่งนี้เราน้อยเนื้อต่ำใจกับสมบัติของเรา แล้วเราจะก้าวเดินไปไม่ได้เลย เราจะเอาเริ่มตรงไหนเป็นจุดที่ก้าวเดินของเราขึ้นไป
ในการประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นการประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้อง ให้มันถูกต้องมันก็ต้องทำให้มันถูกต้องก่อน ถูกต้องจากความเห็นของเรา ถูกต้องจากกิเลสนี่แหละ ถูกต้องจากความเห็นที่ในเรื่องของกิเลส นับ ๑ ออกไปจากกิเลสของเรานี่แหละ
ถ้าเราจะบอกว่า ให้กิเลสมันสงบตัวลงก่อน ทำด้วยการไม่มีตัณหาความทะยานอยาก
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนพระอรหันต์ สิ่งที่ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องสอน เพราะเขาเอาตัวรอดเขาได้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าสอนแต่ผู้ที่มีกิเลสทั้งนั้น
คนที่มีกิเลสอยู่ อุปาทานในหัวใจมันจะไม่มี เป็นไปได้อย่างไร อุปาทานความเห็นในใจ ความคิด ความนึกในใจ ความคาดหมายของใจ มันมีโดยธรรมชาติของมัน ถ้ามีโดยธรรมชาติของมัน ก็ต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ไง เริ่มต้นจากเรามีความผิดพลาด เริ่มต้นจากเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่แหละ
แล้วนับ ๑ ออกไป พยายามต่อสู้กับมัน ให้มันสงบตัวลง ให้มันยอบตัวลง ให้มันยอบตัวลง ให้จิตนี้เป็นตั้งมั่น จิตนี้เป็นอิสระขึ้นมา ถ้าจิตนี้เป็นอิสระขึ้นมา เราจะเริ่มพาจิตนี้ พาดวงใจนี้ฝ่าดงของกิเลส ถ้าเราพาใจเราฝ่าดงของกิเลส เราจะได้วิปัสสนา ถ้าเราไม่ทำ ไม่ยกใจของเราขึ้นฝ่าดงของกิเลส เราจะไม่ได้วิปัสสนา เราจะทำความสงบของใจ เราจะทำสมถกรรมฐานตลอดไป แล้วเราเข้าใจว่าเราเป็นวิปัสสนา
นั่นน่ะ ถ้ามันผิด มันผิด ๒ ชั้นตรงนั้น
ถ้ามันไม่ผิด มันไม่ผิด มันก็ต้องถูก
ถ้ามันถูก ถูกในหลักแง่ของธรรม ถูกในแง่ของการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ถูกในแง่ของความเห็นของกิเลส ถ้าความเห็นของกิเลส มันจะบอกเลยว่า เรายังมีกิเลสอยู่ เรามีความตัณหาความทะยานอยากอยู่ ต้องให้เราปล่อยวางก่อน ต้องให้ความตัณหาความทะยานอยากเราน้อยไป ต้องทำตามด้วยความไม่อยาก
ด้วยความไม่อยาก ด้วยความไม่มีเป้าหมาย...สิ่งที่ทำไม่มีเป้าหมาย แล้วใจมันจะเดินไปไหน ใจเราต้องมีเป้าหมาย เราทำเป้าหมาย บารมี ๑๐ ทัศ อธิษฐานบารมี บารมีของเรา เราทำบุญกุศลกัน เวลาเราทำบุญกุศล เราตั้งเป้าหมายไว้อยากให้ถึงมรรค ผล นิพพาน นั่นน่ะ เรายังตั้งเป้าหมายได้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราจะตั้งเป้าหมายของเราไม่ได้ เราต้องตั้งเป้าหมายของเราว่าเราจะต้องได้มรรค ผล นิพพาน เราจะต้องได้อริยผลของเรา เราต้องทำของเราขึ้นไป
ถ้าเราตั้งเป้าหมายของเราแล้ว เราพยายามเดินของเราขึ้นไป เดินขึ้นไป เวลาขณะเดินขึ้นไปนี่มันจะผิด-จะถูก อันนี้อีกส่วนหนึ่ง ถ้ามันจะผิด-มันจะถูก เราก็ต้องพยายามแก้ไขของเราไป ถ้ามันถูก เราพยายามเร่ง เหยียบคันเร่งขึ้นไป ถ้ามันผิด มันผิดขึ้นมา เราก็เหยียบเบรกไว้
ธรรมะเป็นเบรก เป็นคันเร่งสำหรับหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นมีหลักมีเกณฑ์ มันจะมีเบรก-มีคันเร่ง ถ้าหัวใจไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ เวลาพลาดก็พลาดไปเลยนะ เวลาพลาดนี่ตกทะเลไปเลย เพราะเราไม่มีเบรกห้ามล้อไว้ ถ้าสิ่งนั้นเป็นความผิด
เพราะเราเจอ เวลาเราทำความสงบของใจเข้าไป มันจะไปเจอสิ่งใดสิ่งต่างๆ ในหัวใจ นั่นน่ะ เราเหยียบคันเร่งแล้ว เราเชื่อสิ่งนั้นแล้ว เราไม่ได้ตรวจสอบสิ่งนี้ก่อน สิ่งนี้มันเป็นนิมิต สิ่งนี้มันเป็นความเห็นของเรา ความเห็นของเรานี่เรายังมีกิเลสอยู่ ความเห็นของเรามันต้องไม่จริง
แต่ถ้าเราพยายามฝ่าดงของกิเลส จนกว่ากิเลสมันจะหมดออกไป ถ้าจิตของเรามันบริสุทธิ์ขึ้นมา จิตของเรามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ความเห็นนั้นมันถึงจะเป็นประโยชน์ของเรา ถ้าความเห็นนั้นเป็นประโยชน์ของเรา นั่นน่ะ มันมีคันเร่ง เป็นคันเร่ง ถึงเวลาเร่ง ควรเร่ง ถึงเวลาเบรก ต้องเบรก ถ้าเบรกขึ้นมา เบรกเพื่อจะให้เราไม่ต้องเสียเวลานาน
อย่างน้อยต้องเสียเวลา อย่างมากเสียการประพฤติปฏิบัติไปเลย เสียเรื่องการประพฤติปฏิบัติ หลุดออกไปนอกทาง ถ้าหลุดออกไปนอกทาง นอกทางของธรรมนะ แต่เราก็ปฏิบัติอยู่ แต่ปฏิบัติโดยเอากิเลสประพฤติปฏิบัติ กิเลสพาเอาธรรมไป เราก็เชื่อกิเลสของเรา เราพยายามทำของเรา ทำตามประสากิเลสของเราไป มันจะไปถึงไหน มันก็ต้องวนอยู่ในเรื่องของความจอมปลอม เพราะเรื่องของกิเลส
คำว่า กิเลส เป็นสิ่งที่ว่าปลิ้นปล้อนหลอกลวงเรา หลอกลวงเรานะ ถ้ากิเลสของคนอื่น เขาก็หลอกลวงคนอื่น มันต้องหลอกลวงเรา หลอกลวงให้เป็นความนึก ความคิด หลอกลวงให้เป็นสมุฏฐานของเรา ฝังในหัวใจของเรา คือกิเลสมันหลอกลวงเรา แล้วเราประพฤติปฏิบัติให้กิเลสเป็นใหญ่ มันก็จะหลอกลวงเรา
ถ้าเราไม่ให้กิเลสมันเป็นใหญ่ มันถึงต้องทำความถูกต้อง ถ้าถูกต้อง มันต้องทำความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจ ใจสงบแล้วตัณหาความทะยานอยากนั้นมันมีโดยธรรมชาติของมัน เราไม่ได้ไปต้องการสิ่งนั้น แต่เราต้องการความสงบของใจเพื่อให้ใจเป็นอิสระ เพื่อให้ใจมันยกขึ้นวิปัสสนาได้ ให้พาใจฝ่าดงของกิเลสได้ สิ่งนี้เป็นถูกต้อง
สิ่งที่ทำเอาใจฝ่าดงของกิเลสได้ นี่ฝ่าฝืนกับกิเลสขึ้นไป ถึงที่สุดแล้ว มันจะชำระสมุจเฉทปหาน ขาดเป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอน นี่ถูกต้องจาก ๑ ๒ ก็ถูก ๓ ก็ถูก ๔ ก็ถูก ถูกไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุด จนใจดวงนี้หลุดพ้นออกไปจากกิเลส จนใจดวงนี้พ้นออกไปจากกิเลส มีความสุขในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นสมควรแก่ผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติรักษาใจของตัว ใจจะพ้นออกไปด้วยความสมบูรณ์ สมบูรณ์พูนผลนะ สมบูรณ์โดยความเห็นของใจ สมบูรณ์โดยปัจจัตตัง
ไม่ได้สมบูรณ์โดยการคาดการหมาย ไม่ต้องถามใคร ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วยังต้องถามว่าเราเป็นอย่างนี้เราควรอยู่ตรงไหน เราอยู่ชั้นไหนของธรรม นั่นน่ะ ความลังเลสงสัย มันไม่ปัจจัตตัง
แต่ถ้ามันเป็นปัจจัตตัง มันจะขาดออก ขาดออกไปจากใจ แล้วรู้ตามความเป็นจริง เป็นชั้นเป็นตอน จะรู้ตลอด รู้เลยนะ เพราะเหมือนกับเรากินข้าว เวลาเรากินข้าวขึ้นมาอิ่มท้องเมื่อไรเราต้องรู้เมื่อนั้น นี่เหมือนกัน ขณะจิตที่มันเปลี่ยนไป มันสมุจเฉทปหาน ประหารกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอน มันสมุจเฉทปหานเป็นชั้นเป็นตอน ขาดออกไป แล้วทำไมจะรู้ไม่ได้
มันรู้ได้ รู้ได้โดยที่ว่าเราทำโดยสมบูรณ์ของเรา แต่มันจะไม่รู้สิ่งที่เหนือกว่าขึ้นไปไง แล้วถ้ามันรู้ได้ ทำไมผู้ปฏิบัติหลงล่ะ?...หลงสิ หลงในกิเลสที่มันละเอียดอ่อนเหนือกว่า ส่วนที่สูงกว่า ส่วนที่สูงกว่ามันก็ต้องหลอกสิ่งคนที่อยู่ที่ต่ำกว่า
นี่เหมือนกัน เราเข้าใจว่ามันคาด มันหมาย มันคาด มันหมาย มันอยากจะได้มาก ได้ผลมาก จะได้ผลมาก เวลาจิตมันพิจารณาไป มันปล่อยวางชั้นหนึ่ง เราจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเหมือนกับมันขาด มันสร้างสถานการณ์ขึ้นมาให้เห็นว่าขาด แต่มันไม่ใช่ เพราะมันขาด มันมีละเอียด ความละเอียดอ่อนต่างกัน ขาดของชั้นหยาบๆ มันจะเป็นอย่างหยาบๆ แต่ขาดของชั้นละเอียด มันจะมีสิ่งที่ว่า มรรคผลมันจะให้ผลประโยชน์มากกว่านั้น มันจะมีความเวิ้งว้างมากกว่านั้น
มันคิดว่าขาดด้วยความเห็น เอาความเห็นที่เราเคยขาดเข้าไปเทียบเคียง นั่นน่ะ มันหลง หลงตรงนี้ไง หลงตรงที่เราคาด เราหมาย เราคาด เราหมายด้วยสมบัติเดิมของเรา แล้วเราคาดหมายเป็นสมบัติที่สูงขึ้นไป
แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความจริงสมบัติส่วนหยาบ มันก็เป็นส่วนหยาบ ส่วนกลางมันก็เป็นส่วนกลาง ส่วนละเอียดก็เป็นส่วนละเอียด ส่วนละเอียดสุดนี้เวิ้งว้างไปหมด หลุดออกไป ไม่มีสิ่งใดๆ คงที่ในหัวใจนั้นเลย ใจดวงนั้นพ้นออกไปจากกิเลสโดยสมบูรณ์แบบ เอวัง